History of bead ! in thailand
ลูกปัดแก้วโมเสคหลากหลายรูปแบบ
จากดินแดนโรมัน เมโสโปเตเมีย (ปาเธี่ยน - ซัสสาเนียน - เปอร์เซีย - อิสลามมิค)และอินเดีย
พบตามแหล่งชุมชนโบราณในประเทศไทย ตั้งแต่เพชรบูรณ์จรดกระบี่
อายุของลูกปัดประมาณพุทธศตวรรษที่ 5 - 15
“ลูกปัดแก้วโมเสค – เปอร์เซีย - โรมัน” (Mosaics -Persian - Roman) คือ ลูกปัดที่มีการจัดเรียงลวดลายของแก้วสีและเส้นสีที่สวยงาม มีความหมายในทางความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ (Animism) และศาสนา เป็นเครื่องประดับหรือเครื่องรางที่เกิดขึ้นจาก “เทคโนโลยี” และ “ภูมิปัญญา” ของมนุษย์ ในการควบคุมความร้อนเพื่อการหลอมเหลว การคุมความหนืดของแก้ว เคมีและศิลปะในการรังสรรค์ลวดลายเส้นสีที่สวยงาม จัดเรียงได้อย่างลงตัว มีความหมาย
ลูกปัดแก้วโมเสค (Mosaic Glass Beads) ปรากฏตัวในวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นครั้งแรก เมื่อราว 3,000 – 4,000 ปีที่แล้ว หลังจากการเกิดของเทคโนโลยีการหลอม “แก้ว” กว่าความงดงามจะเดินทางเข้ามาสู่ดินแดนตะวันออกของโลก ก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ เรื่องราวของ “การค้าทางทะเล” ที่ต้องอาศัย “ลมมรสุม” พัดพาเรือสินค้าวานิช จากตะวันตกสู่ตะวันออก จากอินเดียมายังสุวรรณทวีป ตามหลักฐานวรรณกรรมชาดก “พระมหาชนก” ที่มีเค้าโครงของเนื้อหา อธิบายการเดินทางของ “ลูกปัดแก้วโมเสค –เปอร์เซีย - โรมัน” จากแดนไกล ได้เป็นอย่างดี
.
เราอาจจะกล่าวได้ว่า “อุษาคเนย์” หรือแผ่นดิน “อินโด – แปซิคฟิค” เริ่มรู้จัก นิยมและแสวงหาเครื่องประดับ “ลูกปัดแก้วโมเสค - โรมัน” เป็นครั้งแรก ภายหลังจากการรุกรานเข้าสู่อินเดียตะวันตกโดยชาวกรีก - มาซีโดเนีย
.
เมื่อราวปี 327 ก่อนคริสตกาล (พุทธศตวรรษที่ 2 ) “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชา” (Alexander The Great) พร้อม ด้วยกองทัพที่ยิ่งใหญ่ ประกอบด้วยไพร่พลจากมาซีโดเนีย กรีก อียิปต์ เอเชียไมเนอร์และเปอร์เซียน กว่า 150,000 คน มุ่งหน้าเข้ายึดครอง “นครตักศิลา” (Taxila) ซึ่งในเวลาไม่นานนับจากนี้ นครแห่งนี้ จะได้กลายเป็น “ประตูการค้า” (Trade Gate) ศูนย์กลางการคมนาคม (Hub) เชื่อมต่อดินแดนห่างไกลอย่าง เมดิเตอริเนียน อนาโตเลีย (ตรุกี) อียิปต์ ปาเลสไตน์ ซีเรีย เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย เข้าสู่ดินแดน “ชมพูทวีป”
.
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการ “เชื่อมต่อ” (Linking) อารยธรรมของมนุษย์ในโลกยุคโบราณเข้าหากันเป็นครั้งแรก !!!
ลูกปัดแก้วโมเสค จากอ่าวบ้านดอน
ที่พุมเรียง แหลมโพธิ์ ท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
มีจุดเด่นที่ลูกปัดหลายมนต์ตา สีน้ำเงิน ตาขาว ที่เรียกว่า "ลูกยอ" (Stratified eye beads)
จากส่งครามครั้งยิ่งใหญ่ที่โลกยุคใหม่ไม่กล้าบันทึกว่าเป็น“สงครามโลก” ครั้งแรกของมวลมนุษย์ กองทัพแห่งจักรวรรดิกรีกได้รับชัยชนะเหนือชมพูทวีปตะวันตก ด้วยยุทธศาสตร์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ที่ทรงยอมคืน “อำนาจและเกียรติยศ” ทั้งหมดคืนแก่ เหล่ากษัตริย์ท้องถิ่นผู้พ่ายแพ้ โดยแต่งตั้ง “ผู้สำเร็จราชการ” คอยควบคุม ภายใต้ศูนย์กลางการปกครองที่กรุงบาบิโลนเนียน
.
ระบบการปกครองของอเล็กซานเดอร์ คือระบบ“จักรวรรดิ” ที่รับอิทธิพลมาจากราชวงศ์ “อาร์คีเมนิค (Achaemenid)” จักรวรรดิเปอร์เซีย ผู้ปกครองเมโสโปเตเมีย และถูกดัดแปลงมาผสมผสานกับความเชื่อในลัทธิศาสนา เรียกกันว่า “จักรพรรดิราชา” ส่งต่อมายังบ้านเมืองในอินเดีย และอุษาคเนย์ ในอีก “หลายศตวรรษ” ต่อมา
.
เล่ากันว่า จอมราชันย์แห่งมาซีโดเนียมุ่งหวังที่จะยกกองทัพที่“ไม่เคยพ่าย” เดินทางรุกคืบหน้าต่อจากอินเดียไปอีกจนถึง “ดินแดนสุดขอบโลก” ที่ซึ่งเทพพระอาทิตย์ส่องสว่าง ตาม “ความเชื่อ” ที่ว่าโลกมีสัณฐานแบนและมีจุดสิ้นสุดที่ขอบโลก
.
สุดขอบโลกจะเป็นที่ตั้งของแม่น้ำในตำนาน ชื่อ ”โอเชี่ยน”แม่น้ำที่ไม่มีใครสามารถข้ามไปได้ แต่พระองค์ต้องการจะข้ามไปสู่สรวงสวรรค์ให้ได้ แต่ความมุ่งหวังของพระองค์ก็ต้องสิ้นสุดลงด้วยความขมขื่น เมื่อกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในยุคโบราณต้องประสบกับความ”ปราชัย” เป็น ครั้งแรก เป็นความพ่ายแพ้ที่ปวดร้าวทางจิตใจ เมื่อเหล่าแม่ทัพและทหารหาญของพระองค์ที่เหนื่อยล้าและคิดถึงบ้าน เกินกว่าที่จะเชื่อฟังคำสั่งและเกรงกลัวอาญา
ลูกปัดโมเสคสี จากภาคใต้ ที่มีลวดลายแตกต่างกัน
แต่ส่วนใหญ่จะมีคติความเชื่อเรื่อง "ดวงตาเทพเจ้า" เป็นส่วนประกอบเหมือนกัน
ลูกปัตาทรงโยโย่ หรือรอก ลูกปัดนกยูงหรือลูกปัดแบบม้วนประกบ
ลูกปัดตาทรงรักบี้ ลูกปัดกากบาท ลูกปัดม้าสี หรือลูกปัดริ้วประกบ
ลูกปัดทรงทุ่นหรือที่เรียกว่า "ข้าวต้มมัด" (Collared beads or bipolar beads)รูปทรงเฉพาะของคลองท่อม มีลายพาดเฉียง บางครั้งถูกเรียกว่า "ลูกปัดทุ่น พาดฟิล์ม" ลูกปัดชนิดนี้พบมากที่คลองท่อมและกระจายไปยังลพบุรี มีสีเขียว ฟ้า และน้ำตาลไหม้
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จึงจำต้องยกมหากองทัพกลับสู่บาบิโลนเนีย กองทัพที่ยิ่งใหญ่ได้ถอยกลับไปจากชมพูทวีปแล้ว .....และในเวลาไม่นาน จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็เสด็จสู่ปรโลก ขึ้นไปสถิตอยู่กับ “ซุส”หรือ “ซีอุส” (Zeus) มหาเทพที่พระองค์กล่าวอ้างว่าเป็น “พระบิดา” อยู่เสมอ บนยอดโอลิมปัส (Olympus) การสิ้นพระชนม์โดยฉับพลันของพระองค์ก็ยังคงเป็นปริศนามาตลอดกาล
.
หาก พระองค์ยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ มหากองทัพแสงยานุภาพแห่งมาซีโดเนีย ก็น่าจะเข้ามาสู่ที่ราบสูงทิเบอตัน สัปยุทธ์เอาชนะชาวฮั่นในช่วงที่กำลังแตกแยกในยุค “จ้านกว๋อสือไต้” หรือยุคก่อนเกิด “จิ๋นซีฮ่องเต้”ประมาณ 200 ปี และพระองค์ก็คงกรีฑาทัพลงสู่แหลมไครเส เคอรโสเนโสสอันได้แก่ “อุษาคเนย์“ เอาชนะชนเผ่าป่าเถื่อนอย่างพวก“มองโกลอยด์ ผสม นิกริโต